คิดให้ดีๆก่อน “โพสด่าใครใน facebook” คุก 5 ปี เชียวนะ !!

fb-law33

กรณีที่โพสด่าลอยๆ ก็ถือว่ายังโอเค แต่ถ้าด่าแบบระบุตัวตนชัดเจนว่าเป็นใคร ถ้าได้ทำลงไปแล้ว ขอให้รู้ไว้เลยว่าคุณกำลังทำผิด พรบ. คอมพิวเตอร์อยู่ครับ เพราะถ้าหากคุณแค่ด่าเอามันส์ โดยไม่มีหลักฐานว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง ก็เข้าข่ายผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่คุณด่ามันเป็นเรื่องจริงหละ? ก็ต้องถามอีกทีว่าคุณมีหลักฐานเอาผิดเขาแบบจะจะหรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่ที่ด่าๆ กันมันก็แค่เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิดเขาทำ มันดึงมาใช้เป็นหลักฐานก็ยากใช่เล่นอยู่เหมือนกัน

ดังนั้นขอเตือนว่า การโพสด่าใครสักคน ถือเป็นความผิดได้ง่ายมาก ผู้เสียหายสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ หลักฐานที่คุณโพสไว้จะโดน Capture ไว้เป็นหลักฐานได้ง่ายมาก ระวังตัวกันไว้ให้ดี โทษแรงมากอยู่ครับ

โทษที่ว่าแรง แรงแค่ไหน? ตามพรบ.คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14 สรุปได้ดังต่อไปนี้…

ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ -> นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด โดยต้องการที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เห็นโทษปรับแล้ว ไม่ว่าจะโพสด่าใครแบบเป็นสเตตัส หรือ Live สดด่าออกอากาศ คิดให้ดีๆครับ

ที่มา: http://www.thaijobsgov.com/jobs=61128

เริ่มแล้ว ขณะเติมน้ำมัน ดับเครื่อง-ห้ามโทรศัพท์ ฝ่าฝืน โทษสูงมาก !!!

กรมธุรกิจพลังงาน เริ่มวันนี้ (29 พ.ค. )  ปั๊มน้ำมัน ห้าม!!…เติมน้ำมัน หากผู้รับบริการไม่ดับเครื่องยนต์-ใช้มือถือ พร้อม อบรมพนักงานปั๊ม
man2
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทุกแห่ง ให้เข้มงวดในการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแก่ผู้รับบริการ โดยหากพบว่าผู้รับบริการไม่ดับเครื่องยนต์ หรือยังใช้โทรศัพท์มือถือ ห้ามสถานีให้บริการเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้รับบริการและสถานีบริการ หลังเกิดเหตุเพลิงลุกไหม้ในปั๊มแห่งหนึ่งจากการใช้โทรศัพท์ถือถือ
“กฎกระทรวงของกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. 2552 ในหมวดป้องกันเกี่ยวกับการห้ามก่อประกายไฟในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง กำหนดว่า สถานีทุกแห่งต้องมีป้ายแจ้งเตือนให้ดับเครื่องยนต์ ปิดโทรศัพท์มือถือ และห้ามสูบบุหรี่ในขณะรับบริการ แต่กรณีโทรศัพท์มือถือจะอนุโลมว่าผู้ที่เข้ามาใช้บริการไม่ต้องถึงขั้นปิด เครื่อง แต่จะห้ามไม่ให้โทรออกหรือรับสายขณะใช้บริการอยู่ และหากฝ่าฝืนสถานีบริการจะมีโทษปรับ 1 แสน หรือจำคุก 1 ปี หรือทั้งจำและปรับ” นายวิฑูรย์ กล่าว
นอกจากนี้ ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ ประกาศกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคุณสมบัติและการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยว กับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งประกาศดังกล่าวจะกำหนดให้ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันและเชื้อเพลิง ทุกประเภทที่ได้รับใบอนุญาต จะต้องส่งพนักงานเข้ารับการฝึกอบรมด้านการให้บริการด้วยความปลอดภัยภายใน 2 ปี นับจากวันที่มีผลบังคับใช้ แต่หากผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะไม่ต่ออายุใบอนุญาต
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท 3.84 หมื่นแห่ง แบ่งเป็นสถานีบริการน้ำมัน 1 หมื่นแห่ง สถานีบริการปิโตรเลียมเหลว 1,988 แห่ง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติ 488 แห่ง ถังน้ำมัน (รถขนส่งน้ำมัน) 9,465 ถัง ถังก๊าซปิโตรเลียมเหลว (รถขนส่งก๊าซแอลพีจี) 1,988 ถัง ถังก๊าซธรรมชาติ (รถขนส่งก๊าซเอ็นจีวี) 1,356 ถัง และกิจการ อื่นๆ เช่น คลัง สถานที่เก็บน้ำมัน ร้านค้าจำหน่ายก๊าซแอลพีจี 1.34 หมื่นแห่ง และมีผู้ปฏิบัติงานกว่า 1 แสนคน
“สิ่งที่กรมยังเป็นห่วงอยู่ คือ การฝึกอบรมพนักงานผู้ปฏิบัติการที่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของพนักงานผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด เบื้องต้นอาจต้องเปิดหลักสูตรภาษานานาชาติเพื่ออบรมพนักงานกลุ่มนี้” นายวิฑูรย์ กล่าว

ทนาย “อนันต์ชัย” ซัดตำรวจ เรียกพยานไม่อยู่ในเหตุการณ์ มาให้ปากคำ คุณทำไปได้อย่างไร!!

ยังคงเป็นที่ติดตามกันทั่วบ้านทั่วเมือง สำหรับคดีสะเทือนขวัญ สำหรับโจ๋ 6 คน ได้มีการรุมทำร้ายชายพิการจนถึงขั้นเสียชีวิต และคดี 6 โจ๋ รุมทำร้ายชายพิการจนเสียชีวิตเห็นทีจะยืดเยื้อไม่จบง่ายๆแน่นอน

tanai

หลังจากที่ช่วง 6 โมงเย็นของวันที่ 24 พ.ค. 59 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โชคชัยได้นำหมายเรียกสอบพยานในคดีมาให้กับเพื่อนบ้านในละแวกเพื่อให้เดินทางไปให้ปากคำ ซึ่งเพื่อนบ้านรายนี้อยู่ห่างออกไปจากจุดเกิดเหตุประมาณกว่า 500 เมตร ซึ่งไม่ได้รู้เห็นในเหตุการณ์ด้วย

yuicccc

การเรียกพยานไม่อยู่ในเหตุการณ์ มาให้ปากคำ มันใช่แล้วเหรอ นี่คือการทำงานของที่พึ่งของประชาชนสินะ

เจ้าหนี้รู้ไว้ ! ทวงหนี้ผิดเวลามีโทษปรับสูงสุด 1 แสนบาท-ห้ามข่มขู่ลูกหนี้

เพจทนายให้ความรู้ ทวงหนี้ผิดเวลาปรับสูงสุด 1 แสนบาท ตามพ.ร.บ.ทวงถามหนี้ ฉบับปี 2558 ห้ามเจ้าหนี้ทวงหนี้นอกเวลา ห้ามใช้ความรุนแรง ข่มขู่ หากฝ่าฝืนสามารถฟ้องร้องได้

money2

พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ ออกมาตั้งแต่ปี 2558 แต่ประชาชนยังไม่ค่อยทราบกัน ซึ่งสาเหตุที่มีการออกกฎหมายทวงหนี้เกิดจากมีการทวงหนี้อย่างไม่รู้เวลาตั้งแต่ช่วงเช้าจนดึกดื่น จึงมีการกำหนดข้อกฎหมายขึ้นว่า ผู้ที่จะทวงถามหนี้ต้องจดทะเบียนต่อนายทะเบียนก่อน โดยการทวงถามหนี้นั้นต้องทวงกับลูกหนี้เท่านั้น ซึ่งสามารถทวงหนี้ได้ในวันจันทร์ถึงศุกร์เวลา 08.00-20.00 น.  และวันหยุดราชการสามารถติดต่อทวงหนี้ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. และห้ามข่มขู่ ใช้ความรุนแรง

นอกจากนี้ยังห้ามเจ้าหนี้ประทับทวงหนี้หน้าซองจดหมาย หากพบมีการทวงหนี้ที่ไม่ถูกต้อง มีการข่มขู่เอาชีวิต สามารถแคปหน้าจอเป็นหลักฐานแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อใช้ในการฟ้องร้องได้ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท แต่หากลูกหนี้คืนเงินครบตามเวลาที่กำหนด คดีความก็จะไม่เกิดขึ้น

ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก tanaiwirat.com ทนายวิรัช

หัวอกคนเป็นพ่อ!! แทบสลาย ลูกสาวถูกสุนัขกัด ได้รับบาดเจ็บปางตาย

121_1464059652

จากคลิปเหตุการณ์ที่สุนัขที่วิ่งเล่นกัดหญิงสาวจนเกือบตาบอด เรื่องนี้คงทำให้ใครหลายๆคนต้องดูเเลสัตว์เลี้ยงของท่านเป็นพิเศษนะครับ อันตรายมาก ถึงแม้ผู้เป็นเจ้าของจะรับผิดชอบในเหตุการณ์ครั้งนี้  แต่การแก้ไขที่ต้นเหตุ น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าครับ

วางของกั๊กที่จอดบนถนน‬ โทษปรับสูงสุด 1 หมื่นบาท

car-on-foot

พรบ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบ้านเมือง พ.ศ.2535 ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในมาตรา 19

“ห้ามมิให้ผู้ใดตั้งวางหรือกองวัตถุใดๆบนถนนเว้นแต่เป็นการกระทำในบริเวณที่ เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือ พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศกำหนดด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร”

ถ้าฝ่าฝืนจะโดนโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ตามบทลงโทษในมาตรา 57 ของ พรบ.ฉบับนี้

นอกจากนี้ยังผิดกฏหมาย ป.อาญา มาตรา 385 ในเรื่องการกีดขวางทางสาธารณะซึ่งมีโทษปรับสูงสุด 5,000 บาทอีกด้วย แต่เรื่องนี้ภาษากฏหมายเรียกว่า “การกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามบทหนักสุด” นั่นคือ โทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ตาม พรบ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบ้านเมือง พ.ศ.2535 สรุป กั๊กที่จอดบนถนน มีความผิด ปรับไม่เกิน 10,000 บาทครับ สำหรับเรื่องราวในครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรเพื่อนๆ สามารถติดตามกันได้ที่ เว็บนายธันวา กันได้เลยครับมีประโยชน์แน่นอนครับ

ข้อมูลจาก ninethanwa.in.th
ที่มา เพจทนายเพื่อนคุณ

ชายหนุ่มคิดสั้นฆ่าตัวตาย กระโดดลงไปในกรงสิงโต ในสวนสัตว์ แต่ผลที่ได้…

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Thesun ได้รายงานว่า มีชายหนุ่มวัย 20 ปีคนหนึ่งได้แก้ผ้าล่อนจ้อนกระโดดเข้าไปในกรงสิงโต ที่สวนสัตว์แห่งหนึ่งในเมืองซานเตียโก ประเทศชิลีเพื่อฆ่าตัวตาย

1-46

ตามรายงานบอกว่าในขณะนั้นมีสิงโต 2 ตัวกำลังเข้าไปรุมกัดชายหนุ่มคนนี้ แต่เจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์เข้ามาเห็นพอ ดี จึงรีบเข้าช่วยเหลือชายหนุ่มเอาไว้

                ทางด้านนาง Alejandra Montalba หัวหน้าของสวนสัตว์ได้ออกมากล่าวว่า “สวนสัตว์ได้จัดการกับสิงโต เพราะชีวิตของผู้คนสำคัญสำหรับเรามาก”

หลังจากที่ฆ่าสิงโตเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็รีบนำตัวชายหนุ่มในสภาพเปลือยเปล่าส่งโรงพยาบาลทันที จากการตรวจสอบพบว่าชายหนุ่มมีอาการบาดเจ็บสาหัส และมีกระดาษข้อความลาตายอยู่ในเสื้อผ้า

                  ทั้งนี้พยานผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนบอกว่าในขณะที่ชายหนุ่มกระโดดลงไปให้ สิงโตขย้ำนั้น เขาได้ตะโกนบทสวดหรือคำสอนทางศาสนาออกมาดังลั่นอีกด้วย

 มันเป็นเรื่องน่าเศร้า เชื่อว่าคงมีกระแสตีไปมาระหว่างการยิงสิงโต 2 ตัวนั้น กับการปล่อยให้คนตายไปเถอะ แต่เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ก็ต้องทำในสิ่งที่เหมาะสมที่สุดขณะนั้น….

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thesun.co.uk/sol/homepage/news/7166519/Naked-man-jumps-into-a-zoos-LION-enclosure-in-bizarre-suicide-bid-and-survives.html

“ทนายคู่ใจ” บอก ปชช. มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์การทำงาน “ตำรวจ” ได้

จากประเด็นที่ตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และให้ความสนใจถึงกรณีคดี กลุ่มวัยรุ่น 7 คน รุมทำร้ายชายพิการจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต บริเวณซอยโชคชัย4 ประเด็นที่ทำให้ชาวโซเชียลแสดงความคิดเห็นกันจำนวนมาก และเป็นกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กับผู้ต้องหา

1463534535088_7504

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 59 ในเพจเฟซบุ๊ก “ทนายคู่ใจ” ได้ออกมาโพสต์ข้อความด้านกฎหมาย เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หลังมีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยข้อความระบุว่า …

จากประเด็นร้อนที่ทางตำรวจจะแจ้งจับคนโพสด่าตำรวจ “พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. กล่าวถึงกรณีมีผู้แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ ตำรวจ กรณีไม่แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนกับวัยรุ่น 7 คน ที่ก่อเหตุรุมทำร้ายร่างกายพ่อค้าขายขนมปังขาพิการจนถึงแก่ความตาย ซึ่งตนอาจจะต้องพิจารณาบุคคลที่โพสต์แสดงความคิดเห็นคดีดังกล่าว โดยบางคนโพสต์แสดงความคิดเห็นโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเข้าข่ายความผิดหมิ่นเจ้าพนักงานหรือไม่”

เป็นเสมือนการปิดปากข่มขู่ประชาชนที่มีสิทธิจะรับรู้กระบวนการยุติธรรมของหน่วยงานรัฐที่กินเงินเดือนภาษีประชาชนว่าคดีที่สังคมสนใจนั้นจะได้รับความเป็นธรรมแค่ไหนเพียงใด อีกทั้งผู้ต้องหายังเป็นลูกของตำรวจด้วยกันเองยิ่งเป็นสิ่งที่สังคมประนามกันหนักขึ้นไปอีก คำถามที่น่าสนใจว่าสิทธิการวิพากย์การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐของประชาชนหายไปตั้งแต่เมื่อไร แม้รัฐธรรมนูญจะถูกฉีกไปก็ตามแต่นั้นไม่ได้หมายความว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในแง่การแสดงความคิดเห็นจะเป็นเรื่องต้องห้ามทั้งหมดนะเพราะรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 4 ที่ใช้กันอยู่ก็ยังรับรองสิทธิต่างๆไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครอง ประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามพันธกรณีระหว่าง ประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครอง

ซึ่งแน่นอนแม้จะอยู่ในสภาวะสถานการณ์พิเศษแต่สิทธิทางกฎหมายเราก็ยังอยู่ครบตราบเท่าที่ไม่ได้ไปยุ่งการเมือง ซึ่งคำถามคือการวิพากย์การทำงานของตำรวจมันไปยุ่งการเมืองตรงไหน เมื่อคนเขาถามหาความยุติธรรมให้คนตายเท่านั้นเอง แน่นอนอาจจะมีคนไม่พอใจบ้างตามประสาชาวบ้าน เขาก็ต้องแสดงออกในมุมของเขาที่เขาสามารถคิด พิมพ์ เขียน พูด หรือแม้แต่การโพสลงโซเซียลเพื่อแสดงออกให้เห็นว่าเรื่องนี้ ตัวเขารับไม่ได้นะกับสิ่งที่ตำรวจทำ เขาอาจจะแสดงความคิดในมุมของนักกฎหมายหรือนักวิชาการไม่ได้แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีสิทธิพูดถึงเรื่องนี้เลย

วันนี้ผมค่อนข้างผิดหวังที่ทางตำรวจออกมาแถลงข่าวว่าจะดำเนินคดีกับผู้ที่โพสวิพากย์ตำรวจด้วยข้อหา “หมิ่นประมาท” ซึ่งแน่นอนผมบอกเลยว่าสุดท้ายคงพ่วง พรบ.คอมพิวเตอร์ที่มีโทษจำคุก 5 ปีมาด้วยแน่ๆ แต่ในกฎหมายหมิ่นประมาทบ้านเราในเรื่องที่เป็นการวิพากย์การทำงานสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐมีกรณีที่ศาลฎีกายกฟ้องคนวิพากย์มาแล้ว เป็นกรณีเดียวกันในลักษณะที่ทางตำรวจจ้องจะจับนี่เลยครับ ศาลให้เหตุว่าเป็นการวิพากย์ไปตามข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนมาโดยสุจริตทั้งสิ้น เห็นไหมครับการวิพากย์การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้นะครับ

อ้างอิงฎีกาที่ 3546/2558
เมื่อจำเลยทั้งสองในฐานะสื่อมวลชนมีหน้าที่เสนอข่าวสารที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองให้ประชาชนทราบโดยเสนอข้อมูลไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามที่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องสืบสวนและสอบสวนได้ความ หาใช่เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองสร้างขึ้นมาเองไม่ แม้ข้อความบางส่วนอาจทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดด้วยอันเป็นการใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย โดยที่โจทก์ยังมิได้ถูกเรียกไปแจ้งข้อกล่าวหาหรือดำเนินคดี แต่การดำเนินคดีก็เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้ภายในกำหนดอายุความ ทั้งการนำเสนอข่าวสารเชิงวิเคราะห์ของจำเลยทั้งสอง ก็เป็นการติชมวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้ความมาจากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องโดยสุจริตและติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท พิพากษายกฟ้อง

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : เพจ “ทนายคู่ใจ”