Google เตือนหยุดทำ Quick Charge ให้เปลี่ยนมาใช้มาตรฐาน USB-C

google-pixel-gear-patrol-ambiance-970x600

ปัจจุบันระบบชาร์จเร็วของ Android นั้นมีหลายค่ายมาก เช่น Qualcomm Quick Charge เป็นต้น สำหรับใครที่ชื่นชอบการชาร์จไวๆ ก็คงจะถูกใจฟีเจอร์ลักษณะนี้ไม่น้อย แต่ฟีเจอร์เหล่านี้คงจะไม่ได้ไปต่อแล้ว

Google ได้อัปเดตเอกสารความเข้ากันของ Android (Android Compatibility Definition Documents) ซึ่งระบุว่าไว้ว่า แนะนำอย่างมากให้เปลี่ยนมาใช้พอร์ท USB-C ที่ไม่ได้ถูกดัดแปลงให้รองรับการชาร์จไวหรือมีการดัดแปลงค่าแรงดันไฟฟ้าให้ต่างจากค่ามาตรฐาน ในอนาคต Android จะบังคับให้อุปกรณ์ USB-C ทุกเครื่องต้องใช้ระบบชาร์จมาตรฐานของ USB-C เท่านั้น

ข้อความจากเอกสารของ Android

“Type-C devices are STRONGLY RECOMMENDED to not support proprietary charging methods that modify Vbus voltage beyond default levels, or alter sink/source roles as such may result in interoperability issues with the chargers or devices that support the standard USB Power Delivery methods. While this is called out as “STRONGLY RECOMMENDED”, in future Android versions we might REQUIRE all type-C devices to support full interoperability with standard type-C chargers.”

นอกจากนี้ Google ยังระบุว่า USB-C ของอุปกรณ์จะต้องสามารถตรวจจับการจ่ายกระแสไฟที่ 1.5A และ 3.0A ได้ และอุปกรณ์จะต้องคำนวนกระแสไฟในการชาร์จได้ด้วยตามมาตรฐานที่ Google นั้นกำหนดเอาไว้ครับ

เพิ่มเติม: USB-C มีมาตรฐานที่ชื่อว่า USB-PD ซึ่งส่งผลให้ USB-C สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 20V 5A คำนวนออกมาแล้วได้ถึง 100W เปรียบเทียบกับ Quick Charge 3.0 ของ Qualcomm ซึ่งสามารถรับไฟได้สูงสุดที่ 20V เช่นเดียวกัน

Samsung ประสบความสำเร็จในการทดสอบ 5G ร่วมกับ CMRI

Samsung ได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบ 5G รุ่นต้นแบบ ซึ่งเป็นการร่วมงานกับ China Mobile Research Institute (CMRI) มาตั้งแต่ที่ Samsung ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ China Mobile 5G Innovation Center เมื่อเดือนมิถุนายน 2016 ที่ผ่านมา

5g-network-2

เทคโนโลยีสำคัญที่ Samsung ได้นำเสนอภายในการทดสอบ 5G รุ่นต้นแบบ มีด้วยกัน 2 ตัวคือ

  • Spatial Modulation จะช่วยเพิ่มเรทของการส่งข้อมูลโดยไม่ต้องปรับเพิ่มแบนด์วิดท์ (Bandwidth)
  • FBMC (Filter Bank Multicarrier) เป็นวิธีใหม่ที่สามารถนำสัญญาณจากช่องสัญญาณหนึ่ง ไปใช้กับช่องสัญญาณอื่นที่มีคลื่นความถี่เดียวกันได้

โดยเทคโนโลยีทั้ง 2 ตัวนี้ ได้เคยถูกนำมาทดสอบและทำงานได้ดีกับคลื่นความถึ่ 3.5 GHz (ใกล้เคียงกับ LTE ในปัจจุบัน) แต่เมื่อนำมาใช้กับคลื่นความถี่สูง เครือข่ายจะยังไม่สามารถครอบคลุมการทำงานได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นมันจึงเหมาะกับการใช้งานเฉพาะในเขตเมืองหรือชุมชนแออัดที่โทรศัพท์จำนวนมากถูกใช้งานอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ก็อาจทำให้ คลื่นความถี่สูง กลายเป็นข้อเสียหลักของเทคโนโลยี 5G เนื่องจากไม่สามารถใช้งานในพื้นที่แถบชนบทหรือพื้นที่อันห่างไกลได้

Samsung ได้อธิบายว่า วัตถุประสงค์หลักของการทดสอบนี้คือการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาสูงสุดของคลื่นความถี่สูง หรือที่เรียกว่า Millimeter Wave Frequencies (ความถี่คลื่นมิลลิเมตร) ในการใช้งานด้านการติดต่อสื่อสารผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ (โทรศัพท์มือถือ) ซึ่งคลื่นเหล่านี้จะมีความถี่อยู่ที่ 30 GHz ถึง 300 GHz

Dai Jun Zhang รองประธานและหัวหน้าของ Samsung R&D Institute China ได้กล่าวว่า ทาง Samsung จะยังคงพัฒนาเทคโนโลยี 5G ร่วมกับ CMRI ต่อไป

ที่มา phonearena.com

ผลทดสอบพบ iPhone มีอัตราการเกิดข้อผิดพลาดสูงกว่า Android

iOS ชูจุดเด่นด้วยระบบที่ใช้งานง่ายและลื่นไหล แต่รายงานล่าสุดอาจทำให้สโลแกนนี้ต้องถูกเปลี่ยนใหม่เมื่อล่าสุดมีรายงานว่า iPhone มีโอกาสพบข้อผิดพลาด (เด้ง – crash) มากกว่า Android เสียอีก

State of Mobile Device Performance and Health รายงานผลการทดสอบของไตรมาสที่สามพบว่า iPhone และ iPad มีอัตราการผิดพลาดถึง 62% ในขณะที่ Android มีความผิดพลาดเพียง 47% เท่านั้น ห่างกันถึง 15%

iphone-6-ios-9-1

ในกลุ่ม iPhone ด้วยกัน iPhone 6 พบข้อผิดพลาดสูงสุดที่ 13% ส่วน iPhone 6s และ iPhone 5s มีอัตราการเกิดความผิดพลาดต่ำกว่าที่ 9% เท่ากัน ด้าน Android พบว่า อุปกรณ์ที่มีอัตราเกิดความผิดพลาดสูงสุดคือ LeEco Le 2 ที่ 13% ตามด้วย Xiaomi Redmi 3S ที่ 9% กับ Redmi Note 3 ที่ 9% และ Samsung Galaxy S7 Edge ที่ 5%

ในเรื่องความผิดพลาดของแอปพลิเคชั่น รายงานระบุว่า iPhone มีโอกาสเกิดความผิดพลาด (เด้ง -crash) สูงกว่าที่ 65% สูงกว่า Android อยู่ 25% แอปที่พบความผิดพลาดเยอะที่สุดของแต่ละแพลตฟอร์มคือ

  • iOS: Instagram (14%), Snapchat (12%) และ Facebook (9%)
  • Android: IMS Service (32%), Address Book (12%), and Google Play Services (10%)

Nikon เปิดตัว D5600 กล้อง DSLR ที่พลิกรูปแบบการนำเสนอเรื่องราวบนโลกโซเชียล

บริษัท นิคอน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัวกล้อง Nikon D5600 ใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อผู้ที่รักการถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก และนักสร้างคอนเทนต์ ให้สามารถสื่อสาร และแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างที่ต้องการ ด้วยคุณสมบัติในการเชื่อมต่อที่แสนสะดวกของกล้องดีเอสแอลอาร์ฟอร์แมตดีเอ็กซ์สำหรับช่างภาพมือใหม่รุ่นล่าสุดจากนิคอนตัวนี้ ทำให้สามารถแชร์เรื่องราวต่างๆ ลงบนโซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย

nikon_d5600_6

กล้อง D5600 อัดแน่นไปด้วยคุณสมบัติมากมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานได้บันทึกภาพความทรงจำ และช่วงเวลาที่ดีของพวกเขา และแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ร่วมสัมผัส หน้าจอแอลซีดีแบบบิดพับปรับองศาได้สามารถพับเปิด และบิดหมุนได้ตามต้องการ เพื่อให้สามารถถ่ายภาพได้อย่างสร้างสรรค์และมีอิสระยิ่งขึ้น หน้าจอทัชสกรีนซึ่งเป็นที่นิยมตลอดกาลของกล้องในซีรี่ส์ D5000 ถูกนำมาใส่ไว้เพื่อเสริมการใช้งาน พร้อมฟังก์ชั่นครอปภาพใช้สำหรับตัดส่วนภาพขณะซูมดูเฉพาะส่วนของภาพ มีแถบเลื่อนเฟรมให้ผู้ใช้สามารถเลื่อนไปดูภาพอื่นๆได้อย่างสะดวกง่ายดาย

นอกจากนี้ ยังเพิ่มฟังก์ชั่นถ่ายภาพยนตร์แบบเหลื่อมเวลาเดียวกับที่มีในกล้องระดับบนอย่าง D7200 ไว้ในกล้องดีเอสแอลอาร์รุ่นนี้ด้วย เพื่อให้ผู้ใช้งานได้มีโอกาสสัมผัสและเสริมสร้างประสบการณ์ในการเล่าเรื่องราวผ่านภาพด้วยวีดีโอในแบบเหลื่อมเวลาที่แสนประทับใจ

กล้อง D5600 ยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทดีไวซ์ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาผ่านการใช้แอพพลิเคชั่น SnapBridge และเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy (BLE) ภาพนิ่งที่บันทึกไว้จะถูกโอนถ่ายไปยังสมาร์ทดีไวซ์ที่มีการจับคู่อุปกรณ์ไว้แล้วได้โดยอัตโนมัติ และผู้ใช้ยังสามารถอัพโหลด และแชร์ภาพถ่ายคุณภาพสูงได้อย่างสะดวกง่ายดายไร้การสะดุด

คุณลักษณะเด่นของกล้อง D5600

1.กล้องรองรับการทำงานของแอพพลิเคชั่น SnapBridge ซึ่งหมายถึงการติดตั้งเพียงครั้งเดียวจะทำให้ D5600 สามารถสื่อสารกับสมาร์ทดีไวซ์ ได้อย่างถาวรและมีเสถียรภาพ ช่วยให้สามารถโอนย้ายไฟล์ภาพ ได้อย่างต่อเนื่องง่ายดาย และทำได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นเพิ่มความสะดวกในการใช้งานอีกมากมาย อาทิ สามารถอัพโหลดภาพขึ้นสู่ NIKON IMAGE SPACE ของนิคอนได้โดยอัตโนมัติ สามารถเลือกใส่ข้อมูลลิขสิทธิ์และคำบรรยายภาพ สามารถซิงค์ข้อมูลวัน-เวลา และสถานที่ให้ตรงกับในสมาร์ทดีไวซ์ได้โดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ กล้อง D5600  ยังรองรับการโอนย้ายไฟล์ภาพนิ่ง และไฟล์ภาพยนตร์แบบความเร็วสูงรวมถึงการถ่ายภาพนิ่งแบบรีโมตเมื่อใช้การเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi

2.ผสานความสะดวกเข้ากับการใช้งานได้อย่างลงตัว กล้องนี้มาพร้อมหน้าจอแอลซีดีทัชสกรีนแบบบิดพับปรับองศาได้ขนาด 3.2 นิ้ว ช่วยให้ถ่ายภาพได้จากทั้งมุมสูง มุมต่ำ และมุมที่ถ่ายเซลฟี่ให้ออกมาดูดีที่สุด การใช้งาน  ฟังก์ชันทัชสกรีนเหมือนกับกล้องรุ่น D5500 แต่ใน D5600 ใหม่ยังมีแถบเลื่อนแสดงภาพแบบเดียวกับกล้อง ไฮเอนด์อย่างรุ่น D5 และ D500 ให้สามารถเลื่อนภาพในขณะดูแบบเต็มหน้าจอได้อย่างสะดวกสบาย

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่น Touch Fn ที่เสริมประสิทธิภาพให้สามารถเปิด-ปิดระบบ auto ISO เพื่อควบคุมค่าความไวแสง และการทำงานผ่านช่องมองภาพได้ดีมากยิ่งขึ้น

3.จุดประกายความสร้างสรรค์ผ่านสีสันที่สดใส กล้อง D5600 ที่ใช้งานง่ายนี้ให้ความละเอียด 24.2 ล้านพิกเซล และมาพร้อมเซ็นเซอร์ CMOS สำหรับกล้องฟอร์แมตดีเอ็กซ์ของนิคอนที่ไม่มีฟิลเตอร์แบบ optical low-pass ซึ่งเมื่อนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ร่วมกับระบบประมวลผลภาพ EXPEED 4 จะทำให้สามารถใช้งานเลนส์ NIKKOR ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เพื่อผลงานที่มีคุณภาพเหนือชั้นกว่า ค่าความไวแสงมาตรฐานมีระยะครอบคลุมตั้งแต่ ISO 100 ถึง 25600 ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่สามารถลดสัญญาณรบกวนลงได้อย่างเห็นผลชัดเจน แม้ถ่ายภาพในที่มืด หรือแสงน้อย

คิดให้ดีๆก่อน “โพสด่าใครใน facebook” คุก 5 ปี เชียวนะ !!

fb-law33

กรณีที่โพสด่าลอยๆ ก็ถือว่ายังโอเค แต่ถ้าด่าแบบระบุตัวตนชัดเจนว่าเป็นใคร ถ้าได้ทำลงไปแล้ว ขอให้รู้ไว้เลยว่าคุณกำลังทำผิด พรบ. คอมพิวเตอร์อยู่ครับ เพราะถ้าหากคุณแค่ด่าเอามันส์ โดยไม่มีหลักฐานว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง ก็เข้าข่ายผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่คุณด่ามันเป็นเรื่องจริงหละ? ก็ต้องถามอีกทีว่าคุณมีหลักฐานเอาผิดเขาแบบจะจะหรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่ที่ด่าๆ กันมันก็แค่เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิดเขาทำ มันดึงมาใช้เป็นหลักฐานก็ยากใช่เล่นอยู่เหมือนกัน

ดังนั้นขอเตือนว่า การโพสด่าใครสักคน ถือเป็นความผิดได้ง่ายมาก ผู้เสียหายสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ หลักฐานที่คุณโพสไว้จะโดน Capture ไว้เป็นหลักฐานได้ง่ายมาก ระวังตัวกันไว้ให้ดี โทษแรงมากอยู่ครับ

โทษที่ว่าแรง แรงแค่ไหน? ตามพรบ.คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14 สรุปได้ดังต่อไปนี้…

ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ -> นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด โดยต้องการที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เห็นโทษปรับแล้ว ไม่ว่าจะโพสด่าใครแบบเป็นสเตตัส หรือ Live สดด่าออกอากาศ คิดให้ดีๆครับ

ที่มา: http://www.thaijobsgov.com/jobs=61128